คุณแม่อึ้ง.! จากติดเกมส์ ดื้อ ซน กลับมาเรียนดีได้อย่างไร?
![]() |
เด็กสมาธิสั้นเรียนดีได้อย่างไร? |
เมื่อก่อน น้องอาทเป็นเด็กติดเกมส์มาก ดื้อหลังเลิกเรียนเสื้อผ้าไม่ทันเปลื่ยน ก็เข้าร้านเกมส์เลย อ่านไม่ต่อยออก เขียนไม่รู้เรื่อง จนคุณครูเอ่ยปาก เรียนพิเศษก็ยังไม่ดีขึ้น
คุณแม่กังวลกับลูกมาก จนวันหนึ่งมีเพื่อนแนะนำ ให้ลูกลองทาน "อเลอไทด์" เพื่อนบอกให้ลูกทามแล้วมีอาการดีขึ้นมากพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น โดยให้ทานวันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น ทานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน อารการของน้องดีขึ้นมีสมาธิมากขึ้น เชื่อฟังและเริ่มมีเหตุผล จนคุณครูชมว่าน้องเรียนดีขึ้น
ผลการเรียนคะดีขึ้น จนทำให้คุณแม่สบายใจมาก ขอบคุณ "อเลอรไทด์" มากค่ะ
จากสถิติพบว่า เด็กไทย
ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 5-10%
โดยเด็กชายจะเป็นมากกว่าเด็กหญิง 4 เท่า
\
สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD
คือ โรคขาดสมาธิในการจดจ่อตั้งใจทำสิ่งใดให้สำเร็จ ขี้ลืม ไม่ใส่ใจคำสั่ง อยู่ไม่นิ่ง ไม่ชอบอยู่กับที่ ไม่อดทน หุนหันพลันแล่น โดยผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการตั้งแต่ช่วงอายุ 3-6 ปี โดยอาการจะแสดงออกอย่างชัดเจนและวินิจฉัยได้ในช่วงอายุ 6-12 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องเริ่มเข้าโรงเรียน ต้องทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เริ่มสื่อสารและเข้าสังคม
แบบที่ 1: ขาดสติ วอกแวกง่าย ขี้ลืม
แบบที่ 2 : ซุกซนเกินเหตุ ไม่อยู่นิ่ง พูดมาก
แบบที่ 3 : หุนหันพลันแล่น ใจร้อน วู่วาม
เกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัย
"โรคมาธิสั้น"
1.ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนเสร็จได้
2.ไม่มีสามาธิในขณะที่ทำงานอยู่หรือเล่น
3.ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
4.ไม่สามารถฟังหรือเก็บรายละเอียดได้ ทำให้งานผิดพลาดบ่อยๆ
5.ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
6.มีปัญหาหรือพยายามหลีกเหลี่ยง งานที่ต้องการใช้ความคิดหรือสมาธิ
7.วอกแวกง่าย
8.ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียนหายอยุ่บ่อยๆ
9.หลงลืมบ่อยๆ
10.ยุกยิก อยู่ไม่สุข
11.นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆขณะอยู่ที่บ้านหรือห้องเรียน
12.ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งของต่างๆ
13.พูดมาก พูดไม่หยุด
14.ชอบเล่นเสียงดังรุนแรง
15.ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
16.ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม โดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
17.รอคอยไม่เป็น ใจร้อนด่วนได้
18.ชอบขัดจังหวะ หรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่
2.ไม่มีสามาธิในขณะที่ทำงานอยู่หรือเล่น
3.ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
4.ไม่สามารถฟังหรือเก็บรายละเอียดได้ ทำให้งานผิดพลาดบ่อยๆ
3.ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
4.ไม่สามารถฟังหรือเก็บรายละเอียดได้ ทำให้งานผิดพลาดบ่อยๆ
5.ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
6.มีปัญหาหรือพยายามหลีกเหลี่ยง งานที่ต้องการใช้ความคิดหรือสมาธิ
7.วอกแวกง่าย
8.ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียนหายอยุ่บ่อยๆ
9.หลงลืมบ่อยๆ
10.ยุกยิก อยู่ไม่สุข
11.นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆขณะอยู่ที่บ้านหรือห้องเรียน
12.ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งของต่างๆ
13.พูดมาก พูดไม่หยุด
14.ชอบเล่นเสียงดังรุนแรง
15.ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
16.ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม โดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
17.รอคอยไม่เป็น ใจร้อนด่วนได้
18.ชอบขัดจังหวะ หรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่
หากเด็กคนใด มีอาการเหล่านี้เกิน 6 ข้อขึ้นไปมีโอกาสสูงที่จะเป็น
"โรคสมาธิสั้น"
ผลกระทบระยะยาวของ
"เด็กสมาธิสั้น"
หากลูกมีอาการเข้าข่ายสมาธิสั้น พ่อ-แม่ ควรรีบแก้ไข เพราะจากงานวิจัยพบว่า เด็กสมาธิสั้นจะไม่สามารถดึงความสามารถออกมาได้เต็มที่ ทั้งด้านการเรียน มนุษย์สัมพันธ์ จนเด็กขาดความมั้นใจในตัวเอง และการเลี้งดูอย่างผิดวิธี อาจส่งผลให้อาการเหล่านั้นรุนแรงขึ้นได้
"โรคสมาธิสั้น" เกิดจากความผิดปกติของสารเสื่อนำประสาทในสมอง ที่มีน้อยเกินไปหรือไม่สมดุลย์ ส่งผลให้เด็กไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้ จึงส่งผลให้เกิดอาการ ซน อยู่ไม่นิ่ง อารมณ์รุนแรง "พ่อ-แม่" ต้องเข้าใจก่อนว่า การที่ลูกมีอาการแบบนี้นั้น ไม่ใช่ความผิดของลูก แต่เกิดจากอาการของโรคสมาธิสั้น
ทางเลือกใหม่ในการดูแล
"เด็กสมาธิสั้น"
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ศูนย์พัฒนาสมองอัจฉริยะ
"พร้อมให้คำปรึกษาฟรี ตลอดโครงการ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น